ไฟลัมแพลทีเฮลมินเทส (Phylum Platyhelminthes)

ไฟลัมแพลทีเฮลมินเทส (Phylum Platyhelminthes)


          Platyhelminthes มาจากภาษากรีก (platy + helminth = flat worm)  หมายถึงหนอนที่มีลำตัวแบน ได้แก่พวกหนอนตัวแบน ชื่อสามัญ flat worm  มีทั้งที่ดำรงชีวิตอย่างอิสระ เรียกหนอนตัวแบน และพวกที่เป็นพยาธิในสัตว์อื่น  เรียกพยาธิตัวแบน โดยสัตว์ในไฟลัมนี้อาศัยอยู่ทั้งในน้ำเค็ม น้ำจืด  และบริเวณพื้นดินที่มีชื้นสูง พบประมาณ 20,000 สปีชีส์



ลักษณะที่สำคัญ
          1. มีสมมาตรเป็นแบบครึ่งซีก (bilateral symmetry)
          2. มีเนื้อเยื่อ 3  ชั้นครบถ้วน (triloblastics) ไม่มีช่องตัว(acoelomate)   คือไม่มีช่องว่างระหว่างผนังลำตัวกับผนังทางเดินอาหาร ผนังชั้นนอกอ่อนนุ่ม  บางชนิดมีซิเลีย เช่น พลานาเลียบางชนิดมีคิวทิเคิล (cuticle) หุ้มและมีปุ่มดูด  หรือขอเกี่ยว (hooks) สำหรับยึดเกาะกับโฮสต์ (host) เช่นพยาธิใบไม้ (flukes) พยาธิตัวตืด (tapeworms)
          3. ร่างกายแบนทางด้านหลังและด้านท้อง (dorsoventrally)   ไม่มีข้อปล้อง แต่บางชนิดเช่นพยาธิตัวตืด  มีข้อปล้องแต่เป็นปล้องที่เกิดขึ้นเฉพาะที่ผิวลำตัวเท่านั้น
          4. พวกที่มีการดำรงชีวิตอย่างอิสระจะมีเมือกลื่น ๆ หุ้มตัวเพื่อใช้ในการเคลื่อนที่  ส่วนพวกที่ดำรงชีวิตแบบปรสิต (parasitic type) จะมีคิวทิเคิล (cuticle) หุ้มตัวซึ่งสร้างจากเซลล์ที่ผิวของลำตัว  ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายซึ่งเกิดจากน้ำย่อยของผู้ถูกอาศัย (host)
          5. มีท่อทางเดินอาหารที่เป็นปลายตัน หรือเป็นแบบที่ไม่สมบูรณ์ มีปากแต่ไม่มีทวารหนัก และพบว่าทางเดินอาหารแตกแขนงออกเป็น 2-3 แฉก ส่วนในพยาธิตัวตืดไม่มีทางเดินอาหาร
          6. สัตว์ในไฟลัมนี้เริ่มมีการรวมตัวของอวัยวะแสดงลักษณะหัว (cephalization)   คือมีปมประสาทสมอง อวัยวะรับความรู้สึกและช่องปากมารวมกันอยู่ทางด้านหน้าของลำตัว
          7. ระบบขับถ่าย มีอวัยวะที่เรียกว่า โพรโตเนฟริเดีย (protonephridia)  มีลักษณะเป็นท่อที่ปลายด้านในปิดและมีท่อไปเปิดออกด้านนอก  
ซึ่งประกอบด้วยท่อตามยาวหลายท่อ (protonephridial canal) จากท่อเล็ก ๆ นี้จะมีท่อแยกไปเป็นท่อย่อย (capillary) ที่ปลายท่อย่อยมีเซลล์โพรโตเนฟริเดียลักษณะเป็นรูปถ้วย (flame bulb)  มีแฟลกเจลลัมเป็นกระจุกอยู่ด้านในของถ้วย ซึ่งจะโบกพัดไปมาคล้ายเปลวเทียน  จึงเรียกว่า เฟลมเซลล์ (flame cell = เซลล์เปลวไฟ)  การโบกพัดของแฟลกเจลลัมทำให้เกิดแรงดึงน้ำผ่านเข้าสู่ท่อของเสียที่โพรโตเนฟริเดีย  กำจัดออกในรูปของแอมโมเนียที่ละลายอยู่ในน้ำ ซึ่งจะไหลออกมาตามท่อและออกสู่ภายนอกทางช่องเปิดที่เรียกว่า เนฟริดิโอพอร์  (nephridiopore)
          8.ไม่มีอวัยวะที่ใช้ในการหายใจโดยเฉพาะ ในพวกปรสิตจะหายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic respiration) เช่นพยาธิใบไม้  ซึ่งพบว่ากระบวนการนี้ให้คาร์บอนไดออกไซด์และอินทรีย์สารสะสมอยู่ในร่างกายสูง ความเข้มข้นของน้ำนอกร่างกายสูงกว่าภายในร่างกายจึงมีผลทำให้น้ำเคลื่อนผ่านเข้าสู่ร่างกาย ระบบขับถ่ายจึงทำหน้าที่ปรับสภาวะน้ำภายในร่างกายให้สมดุล  ส่วนพวกที่ดำรงชีวิตอย่างอิสระจะหายใจแบบใช้ออกซิเจน (aerobic respiration)  โดยการใช้ผิวตัวในการแลกเปลี่ยนแก๊ส
          9. ระบบประสาทประกอบด้วยปมประสาทด้านหน้า (anterior ganglia) หรือปมประสาท รูปวงแหวน (nerve ring)  ทำหน้าเป็นสมองเชื่อมระหว่างเส้นประสาทใหญ่ตามยาว (longitudinal nerve cord) ซึ่งทอดไปตามยาวของร่างกายจำนวน 2 เส้น และมีเส้นประสาทตามขวาง (transverse nerve) เชื่อมระหว่างเส้นประสาทใหญ่ทั้งสองด้วย มีอวัยวะรับสัมผัสแบบง่าย ๆ บางชนิดมีตา  (eye spot)
          10. ระบบสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศโดยมีสองเพศอยู่ในตัวเดียวกัน จัดเป็นกะเทย (hermaphrodite) มีการปฏิสนธิภายในตัวเอง (self fertilization)  
และปฏิสนธิแบบข้ามตัว (cross fertilization) และมีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ  โดยการงอกใหม่ (regeneration) 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น